ประวัติและความเป็นมา

 

                นาฏศิลป์ไทยมีที่มาและเกิดจากสาเหตุแนวคิดต่าง ๆ  เช่น  เกิดจากความรู้สึกกระทบกระเทือน

ทางอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แห่งความสุขหรือความทุกข์ก็ตาม และสะท้อนออกมาเป็นท่าทางแบบ

ธรรมชาติ ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นท่าทางลีลาการฟ้อนรำ  หรือเกิดจากลัทธิความเชื่อในการนับถือสิ่ง

ศักดิ์สิทธิ์, เทพเจ้า  โดยแสดงความเคารพบูชาด้วยการเต้นรำ ขับร้องฟ้อนรำให้เกิดความพึงพอใจ 

      

    ในสมัยอยุธยามีหลักฐานปรากฏในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า มีการให้จัดแสดงโขน

และการแสดงประเภทอื่นขึ้นในพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา ในลักษณะที่เกือบจะเหมือนกับรูปแบบของ

นาฏศิลป์ไทยที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบันและที่แพร่หลายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยในระหว่าง

ที่ราชอาณาจักรอยุธยายังมีสัมพันธ์ทางการทูตโดยตรงกับฝรั่งเศส  ราชทูตฝรั่งเศส ซีมง เดอ ลาลูแบร์  ได้เข้า

มายังประเทศสยาม ในปี ค.ศ. 1687 และพำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อได้จดบันทึกทุกอย่าง

เกี่ยวกับประเทศสยาม ตั้งแต่การปกครอง ภาษา ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี โดย ลาลูแบร์ ได้มีโอกาสได้

สังเกตการแสดงนาฏศิลป์ประเภทต่างๆในราชสำนักไทย  และจดบันทึกไว้โดยละเอียด:-> 

         "ชาวสยามมีศิลปะการเวทีอยู่สามประเภท ->   ประเภทที่เรียกว่า "โขน"  นั้น เป็นการร่ายรำเข้า ๆ

ออก ๆ หลายคำรบตามจังหวะ ซอ และเครื่องดนตรีอย่างอื่นอีก  ผู้แสดงนั้นสวมหน้ากากและถืออาวุธ 

แสดงบทหนักไปในทางสู้รบกันมากกว่าจะเป็นการร่ายรำ

          ส่วนการแสดงประเภทที่เรียกว่า "ละคร" นั้น  เป็นบทกวีที่ผสมผสานกันระหว่างมหากาพย์ และ

บทละครพูด   ส่วน "ระบำ" นั้นเป็นการรำคู่ของหญิงชาย ซึ่งแสดงออกอย่างอาจหาญ ... นักเต้นทั้งหญิง

และชายจะสวมเล็บปลอมซึ่งยาวมาก และทำจากทองแดง นักแสดงจะขับร้องไปด้วยรำไปด้วย  พวกเขา

สามารถรำได้โดยไม่เข้าพัวพันกัน เพราะลักษณะการเต้นเป็นการเดินไปรอบๆ อย่างช้าๆ  โดยไม่มีการ

เคลื่อนไหวที่รวดเร็วแต่เต็มไปด้วยการบิดและดัดลำตัว และท่อนแขน

 

 

 นาฏศิลป์ไทย  แบ่งออกเป็น 4 ประเภท  ได้แก่

 

    - รำ  คือ  การแสดงที่มุ่งเน้นถึงศิลปะท่วงท่า ดนตรี ไม่มีการแสดงเป็นเรื่องราว รำบางชุดเป็นการชม

ความงาม บางชุดตัดตอนมาจากวรรณคดี หรือบางที่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเนื้อเพลง เช่น การรำหน้าพาทย์

 

     รำจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภทดังนี้

        -  รำเดี่ยว เป็นการแสดงที่มุ่งอวดศิลปะทางนาฏศิลป์อย่างแท้จริงชึ่งผู้รำจะต้องมีผีมือดีเยี่ยม เพราะเป็น

การแสดงที่แสดงแต่เพียงผู้เดียว รำเดี่ยวโดยส่วนมากก็จะเป็นการรำฉุยฉายต่างๆ เช่น   ฉุยฉายเบญจกาย, 

ฉุยฉายวันทอง  ฯลฯ  เป็นต้น

         -  รำคู่   เป็นการใช้ลีลาที่แตกต่างกันระหว่างผู้แสดงสองคน เช่นตัวพระ กับตัวนาง หรือบทบาทของ

ตัวแสดงนั้น รำคู่นี้ก็จะแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ

                   -  รำคู่สวยงามจากวรรณคดี เช่น  หนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา  เป็นต้น

                    -  รำมุ่งอวดการใช้อุปกรณ์ เช่น  การรำอาวุธ,  รำกระบี่กระบอง

             -  รำหมู่    เป็นการรำที่เน้นความพร้อมเพรียง เช่น  รำอวยพรชุดต่างๆ

             -  รำละคร   คือการรำที่ใช้ในการแสดงละครหรือโขน เป็นการแสดงท่าท่างสื่อความหมายไปกับบทร้อง

หรือบทละคร และเพลงหน้าพาทย์ต่างๆในการแสดงละคร

 

   -  ระบำ  คือการแสดงที่มีความหมายในตัว  ใช้ผู้แสดงสองคนขึ้นไป คือผู้คิดได้มีวิสัยทัศน์และต้องการสื่อ

การแสดงชุดนั้นผ่านทางบทร้อง เพลง หรือการแต่งกายแบบที่มาจากแรงบันดาลใจจากเรื่องต่างๆเช่น วิถีชีวิต 

วัฒนธรรม ประเพณี และเป็นการแสดงที่จบในชุดเดียว 

     ระบำ จะแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ

         ระบำมาตรฐาน เป็นระบำที่บรมครูทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นไว้ ทั้งเรื่องเพลง บทร้อง การแต่งกาย ท่ารำ

ซึ่งไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ระบำมาตรฐานจะมีอยู่ทั้งหมด 6 ชุด คือ

                  - ระบำสี่บท

                   - ระบำย่องหงิดหรือยู่หงิด

                 - ระบำพรมมาตร 

                  - ระบำดาวดึงส์

              - ระบำกฤษดา 

              - ระบำเทพบันเทิง

        -  ระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เป็นระบำที่บรมครูหรือผู้รู้ทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นและปรับปรุงชึ้นมาใหม่ ชึ่ง

สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาส อาจเป็นระบำที่ได้แรงบันดาลใจจากผู้ประดิษฐ์ที่ต้องการสื่อ

ในเรื่องของการแต่งกาย วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี

        ระบำปรับปรุงมีอยู่หลากหลาย เช่น  ระบำชุมนุมเผ่าไทย, ระบำไกรราศสำเริง, ระบำไก่, ระบำสุโขทัย  

ส่วน ฟ้อน และ เซิ้ง ก็จัดว่าเป็นระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่เพราะผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญทางนาฏศิลป์ได้คิดค้นขึ้นมา

มีการแต่งการตามท้องถิ่นเพราะการแสดงแต่ละชุด ได้เกิดขึ้นมาจากแรงบันดาลใจของผู้ที่คิดจะถ่ายทอด  

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิถีชีวิต, การแต่งกาย, ดนตรี, เพลง  และการเรียกชื่อการแสดงนั้นจะเรียกตามภาษา-

ท้องถิ่น และการแต่งกายก็แต่งกายตามท้องถิ่น  เช่น ภาคเหนือก็จะเรียกว่าฟ้อน เช่น  ฟ้อนเล็บ, ฟ้อนเทียน   

ภาคอิสานก็จะเรียกและแต่งกายตามท้องถิ่นทางภาคอิสาน  เช่น  เซิ้งกะติ๊บข้าว,  เซิ้งสวิง   เป็นต้น   

การแสดงต่างๆล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากท้องถิ่นและแต่งกายตามท้องถิ่นไม่ได้มีหลักหรือเกณฑ์ที่ใช้กัน

โดยทั่วไปในวงการนาฏศิลป์ไทยทั่วประเทศ  สามารถปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาสที่แสดง

จึงถือว่า การฟ้อนและการเซิ้งเป็นระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่

 

  -  ละคร   คือการแสดงเรื่องราวโดยมีตัวละครต่างดำเนินเรื่องมีผูกเหตุหรือการผูกปมของเรื่อง ละครอาจ

ประกอบไปด้วยศิลปะหลายแขนง  เช่น  การรำ ร้อง หรือดนตรี ละครจะแบ่งออกเป็นสองประเภท  ได้แก่

 

            ละครแบบดั้งเดิม มีอยู่สามประเภท คือ

           - โนห์ราชาตรี 

           - ละครนอก 

           - ละครใน

       - ละครที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ มีอยู่หกประเภท คือ

           - ละครดึกดำบรรพ์

           - ละครพันทาง

           - ละครเสภา

           - ละครพูด

           - ละครร้อง

           - ละครสังคีต

 

  -   มหรสพ   คือการแสดงรื่นเริง หรือการแสดงที่ใช้ในงานพิธีต่าง ๆ ซึ่งจะมีรูปแบบและวิธีการที่เป็น

แบบแผน  ได้แก่  การแสดงโขน   และหนังใหญ่  เป็นต้น.